วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แยกทหาร

หากเอาฉากความรุนแรงครั้งนี้มาเป็นผลลัพธ์ หลายคนเชื่อว่าโจทย์ของมันคือการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.49 แต่ผู้เขียนขอใช้ทัศนะที่อาจประกอบด้วยปัญญาอันน้อยนิดว่า ผลลัพธ์เป็นจำนวนศพและทะเลเพลิงกลางเมืองกรุง มันมีโจทย์สืบต่อเนื่องมาตั้งแต่ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (?) บางครั้งคราวก็ปรากฏคำตอบออกมาเป็นระยะ แต่เราไม่จำจดมาเป็นบทเรียน ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม 2516 หรือ 16 ตุลาคม 2519 ประวัติศาสตร์ระยะใกล้ที่ปรากฏคำตอบคือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 อ่านต่อ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ถอดบทเรียนไฟใต้ ใช้ ‘ความจริง’ ดับ ‘ไฟเมืองหลวง’


ความจริงแล้วผมอยากจะเขียนบทความนี้ไปในแนวทางที่คอลัมนิสต์ของสื่อต่างๆ เขาทำกัน คือแสดงความเห็นเกี่ยวกับวิกฤติความรุนแรงระหว่างเสื้อแดงและรัฐบาล โดยเอาจุดยืน(ข้าง)ที่ตนเลือกมาเป็นฐาน และพยายามชี้เป้าว่าฝั่งตรงข้ามที่ตนเองเลือกผิดพลาดเลวร้ายทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นอย่างไร หรืออย่างน้อยก็ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงทั้งหมดนี้ ขั้วตรงข้ามของตนเองเป็นฝ่ายก่อขึ้นทั้งหมด แม้ผู้เขียนรายนั้นจะใช้ทัศนะของนักวิชาการมาเป็นข้อมูลเสริม แต่ก็เป็นเสียงของนักวิชาการของข้างที่ตนเองเลือก แม้จะมีการใช้ ‘สันติวิธี’ เป็นเกราะก็ตาม

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า ตอนนี้ใครๆ ต่างก็เลือกข้าง จะเอือมระอากับปัญหานี้อย่างไรลึกๆ ในใจก็มี ‘ข้าง’ ที่ตนเองเลือกทั้งสิ้น แม้บางคนที่บอกว่าอยากให้ปัญหานี้จบๆ ลงไปเสียทีแต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายในใจว่า “ไอ้ทรราชหน้าดำหน้าขาวเอ้ย! สั่งฆ่าประชาชน ระวังจะแกไม่มีแผ่นดินอยู่” หรือ “ไอ้พวกควายเอ้ย ตายๆ ไปเสียให้หมดก็ดี ปัญหานี้จะได้จบๆ ไป” แม้แต่คนที่ไม่เคยประสีประสาการเมือง ไม่เคยสนใจข่าวสารบ้านเมือง ไม่รู้เหตุแห่งปัญหาว่าอะไรเป็นอะไร อาศัยตามกระแสเอา แต่การอยู่ในประเทศที่มีภาพยนตร์ ‘ดราม่าแอคชั่น’ ให้ชมทุกวันก็เผลอเลือกข้างไปโดยไม่รู้ตัว ก็อย่างว่าล่ะครับ เราอยู่ในโลกของบริโภคนิยม เมื่อสิ่งใดมันทำให้กลายเป็นวัฒนธรรมป๊อบ การซึมซับเพื่อตามกระแสก็เป็นเรื่องปกติ..............อ่านต่อ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อาศิส พิทักษ์คุมพล ใน ‘ตัวเต็ง’ จุฬาราชมนตรี


ในจำนวนตัวเต็งทั้งหลายในตำแหน่งจุฬาราชมนตรีคนที่ 18 ชื่อของนาย อาศิส พิทักษ์คุมพล ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลาคือรายชื่อที่เป็นตัวเต็งลำดับต้นๆ ไม่ใช่เพราะได้รับความเห็นชอบให้เสนอชื่อโดยเอกฉันท์จากประธานกรรมการอิสลามหลายจังหวัดโซนภาคใต้ ไม่ใช่เพราะดำรงตำแหน่งผู้นำมุสลิมในจังหวัดสงขลาที่มีพี่น้องมุสลิมจำนวนมากลำดับต้นๆ ของภาคใต้ แต่นายอาศิสได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องมุสลิมจาก 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีความเป็นเอกภาพอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นความหวังว่าหากนายอาศิสได้รับเลือก จะกลายเป็นจุฬาราชมนตรีที่มีความใกล้ชิดกับพี่น้องชาวมุสลิมชายแดนใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชาวมุสลิมหนาแน่นที่สุดของประเทศมากที่สุดเท่าที่เคยมี และกลายเป็นความหวังว่าจะถึงเวลาที่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำของชาวมุสลิมในประเทศไทยจะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาภาคใต้

แน่นอนว่าเส้นทางของนายอาศิสไม่ใช่เพียงแค่รอการคัดเลือกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลาได้เดินทางลงพื้นที่ในทั่วประเทศแล้ว เพื่อพบปะกับบรรดาผู้นำศาสนาและพี่น้องมุสลิมในจังหวัดต่างๆ ซึ่งหลายจังหวัดก็มีการพูดคุยพิจารณาแล้วพร้อมกับแสดงความสนับสนุนนายอาศิส ซึ่งเท่ากับว่าไม่ใช่แค่ในเอกภาพของพี่น้องมุสลิม 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่นี่คือห้วงเวลาที่น่าจะมีการเปลี่ยนผ่านบางประการของตำแหน่งจุฬาราชมนตรี ดั่งความเห็นของ ‘นายดำรง กะลำคาน’ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดตากที่เปิดเผยว่า ในที่ประชุมของกรรมการอิสลามประจำจังหวัดตากคุยกันถึงกรณีจุฬาราชมนตรีที่ผ่านมาเป็นคนจาก กทม.และภาคกลาง แต่การเลือกสรรครั้งนี้ชาวต่างจังหวัดต้องการเลือกจุฬาราชมนตรีที่มาจากภาคอื่นบ้าง

ส่วน ‘นายอดิศักดิ์ อัสมิมานะ’ คณะกรรมการอิสลามกลาง และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดตาก ระบุตรงไปตรงมาว่า จุฬาราชมนตรีคนใหม่ต้องมีแผนการกระจายอำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน อย่ายึดติดกับวงศาคณาญาติ และควรกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น เพราะมีมุสลิมอยู่ทั่วประเทศไทย ด้วยการแต่งตั้งผู้แทนจุฬาราชมนตรีประจำจังหวัด สามารถตัดสินใจแทนจุฬาราชมนตรีได้ในบางเรื่อง และทำงานแบบการรวมกลุ่ม หรือซูเลาะห์

นายอดิศักดิ์ยังเชื่อว่าจุฬาราชมนตรีจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาภาคใต้ได้ เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างภาครัฐ และภาคประชาชน โดยมีคณะทำงานที่เป็นมุสลิมทั้งหมด เพราะเป็นผู้รู้ในเรื่องศาสนาวัฒนธรรม และสังคมมุสลิม รวมทั้งสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของชาวมุสลิมในพื้นที่

ความเห็นนี้กระทบชิ่งไปยังข่าวที่ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยบางคนออกนอกหน้าสนับสนุนญาติพี่น้องของตนเองให้ดำรงตำแหน่งสำคัญนี้ แม้จะออกตัวว่าเป็นแค่เพียงการสนับสนุนส่วนตัว แต่ก็ยังไม่วายถูกติงเรื่องความเหมาะสม เพราะที่ผ่านมาบุคคลผู้นี้ยังใช้อำนาจหน้าที่สร้างอำนาจบารมีใน กอท.และดึงการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องในองค์กรของพี่น้องมุสลิม

ส่วนประวัติของนายอาศิส พิทักษ์คุมพล เกิดเมื่อปี พ.ศ.2490 ที่ ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา จบการศึกษาสายศาสนาจากสถาบันปอเนาะใน อ.จะนะ จ.สงขลา และ จ.ปัตตานี แม้ไม่ใช่ชาวไทยเชื้อสายมลายูแต่ที่ผ่านมาได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาภาคใต้มาหลายกรรมวาระ นอกจากการสนิทแนบแน่นกับพี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว พื้นที่ 4 อำเภอของ จ.สงขลาคือ นาทวี จะนะ เทพา และสะบ้าย้อยก็มีเหตุความไม่สงบเกิดขึ้นซึ่งนายอาศิสต้องเข้าไปรับผิดชอบในฐานะผู้นำศาสนาประจำจังหวัด และการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงคือการดำรงตำแหน่งสำคัญในกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.)เมื่อสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร 16 พฤษภาคมนี้จะรู้ว่าฝันของพี่น้องมุสลิมภาคใต้ทั้งมวลที่ต้องการเห็นจุฬาราชมนตรีมีส่วนร่วมแก้ปัญหาภาคใต้อย่างจริงจัง และฝันของพี่น้องมุสลิมทั่วประเทศต้องการเห็นจุฬาราชมนตรีของคนต่างจังหวัดจะเป็นจริงหรือไม่

อิชชา อัลลอฮ์!!

** ภาพประกอบจาก http://www.halalscience.org

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผ่าคดีความมั่นคงปัตตานี(ตอน 2) เปิดสถิติร้องเรียนศูนย์ทนายความมุสลิม “ความอยุติธรรมใต้พรมไฟใต้”


กองบรรณาธิการสำนักข่าวอามาน

ผ่าคดีความมั่นคงปัตตานีตอนที่แล้วชี้ให้เห็นถึงการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ การปิดล้อมจับกุมแบบเหวี่ยงแหของฝ่ายความมั่นคงโดยปราศจากเหตุผลอันสมควรก่อให้เกิดแรงต้านจากประชาชน เข้าสู่ตอนที่ 2 สำนักข่าวอามานเปิดสถิติร้องเรียนจากศูนย์ทนายความมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ4 อำเภอ จากจังหวัดสงขลาที่มีมากเกินครึ่งพัน ซึ่งจังหวัดปัตตานีมีตัวเลขการร้องเรียนสูงสูงสุด โดยเฉพาะการร้องเรียนที่มาจากผลกระทบของการปิดล้อมตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง

แม้จะเป็นเพียงตัวเลขกลมๆ เปรียบเทียบตัวเลขเป็นรายเดือนของปี 2552 แต่สถิติการร้องเรียนของประชาชนต่อศูนย์ทนายความมุสลิม(ศทม.) น่าจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้เผชิญอยู่กับปัญหาที่เกิดจากผลกระทบของเจ้าหน้าที่รัฐมากเพียงใด

ในสถิติที่ศูนย์ทนายความมุสลิมรวบรวมไว้ ระบุว่า การร้องเรียนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อำเภอจังหวัดสงขลาในห้วง 1 มกราคม 2552 -31 ธันวาคม 2552 มีจำนวน 504 เรื่อง แยกเป็นรายจังหวัด จังหวัดปัตตานีมากที่สุดจำนวน 203 เรื่อง รองลงมาคือจังหวัดยะลา 188 เรื่อง จังหวัดนราธิวาส 127 เรื่อง และใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลาจำนวน 27 เรื่อง

โฟกัสลงมาเฉพาะศูนย์ทนายความมุสลิม จังหวัดปัตตานีในส่วนของประเด็นการร้องเรียนนั้น การละเมิดที่เกิดจากปิดล้อมตรวจค้นมีจำนวนมากที่สุดคือ 107 คดี กรณีนักเรียนนักศึกษาถูกควบคุมตัวและเรื่องการถูกซ้อมทรมาน มีเท่ากันคือ 20 คดี รองลงมาคือการยึดทรัพย์สินหรือทำลายทรัพย์มีมากถึง 17 คดี การบังคับให้ไปรายงานตัวผ่านโครงการหรือนโยบายต่างๆ จำนวน 12 คดี และอื่นๆ อีก 12 คดี และเมื่อแยกเพศของผู้ที่มาร้องเรียนในศูนย์ทนายความมุสลิม จังหวัดปัตตานีนั้น เห็นได้ชัดว่า ผู้ร้องเรียนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง(81 ต่อ 28 คนเมื่อเทียบกับผู้ร้องเรียนที่เป็นผู้ชาย) แต่เมื่อดูเฉพาะส่วนของผู้เสียหายหรือผู้ถูกจับกุม ส่วนใหญ่พบว่าเป็นเพศชาย (107 ต่อ 2 คนเมื่อเทียบกับผู้เสียหายหรือถูกจับกุมที่เป็นเพศหญิง) โดยมีเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 127 คดี

เรื่องร้องเรียนดังกล่าวนั้น ศูนย์ทนายความมุสลิม ประจำจังหวัดปัตตานีได้ดำเนินการไปแล้วจำนวนหลายคดี และหลายขั้นตอน อาทิ การประสานงานเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมและได้รับการปล่อยตัวตามกฎหมาย(พิเศษ) หรือ อยู่ระหว่างการติดตามต่อเนื่อง/อยู่ในชั้นสอบสวน/อัยการ(ฝากขัง) จำนวนหลายคดีด้วยกัน หรือบางส่วนก็ได้รับการประกันตัวสู้คดี บางส่วนก็มีการพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้วตามกระบวนการยุติธรรม

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ประเด็นการร้องเรียนที่พบว่าเป็นผลจากการปิดล้อมตรวจค้นนั่นพุ่งสูงมาก เพศชายถูกจับกุมหรือเป็นผู้เสียหาย ส่วนเพศหญิงเป็นผู้ร้องเรียน สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน การคุกคามสิทธิเสรีภาพ การย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ยังคงเกิดขึ้นทุกวี่วันในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐกำลังใช้ยุทธวิธีทางการทหารแก้ไขปัญหาภาคใต้

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องราวใต้พรม ในขณะที่รัฐบาลประกาศว่าการแก้ไขปัญหาภาคใต้กำลังได้ผล และกำลังรุกคืบต่อไปด้วยความพยายามกวาดล้างผู้ร่วมขบวนการก่อความไม่สงบให้มากขึ้น!!


อ่านประกอบ : สถิติเรื่องร้องเรียนมายังศูนย์ทนายความมุสลิมเปรียบเทียบตัวเลขเป็นรายเดือน ระหว่าง วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ ถึง วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ (ตาราง)

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เเตกเเยก

รอยความแตกแยกที่ลูโบะปันยัง กับสมานแผลชายแดนใต้ด้วย‘เฮาะกีตอ’
2010-05-11 12:23:56


มูฮำหมัด ดือราแม

บ่ายที่ร้อนระอุของวันศุกร์วันหนึ่งกลางเดือนเมษายน 2553 หลังเสร็จสิ้นพิธีละหมาดวันศุกร์ ชาวบ้านส่วนหนึ่งของหมู่บ้านลูโบะปันยัง หมู่ที่ 3 ตำบลกาบัง อำเภอกาบัง จังหวัดยะลา มุ่งหน้าไปที่บ้านของนายวอแล๊ะ จินตรา อดีตกำนันตำบลกาบัง ผู้สูญเสียลูกชายจากความไม่สงบ

หมู่บ้านที่มีแผลร้าวจากสถานการณ์ความไม่สงบ ส่งผลให้ชาวบ้านมีหวาดกลัวและมีความหวาดระแวง จนเกือบทำให้ความสามัคคีของคนของคนในหมู่บ้านล่มสลาย แต่บัดนี้ค่อยๆ เริ่มกลับคืนสู่สภาพปกติจากความพยายามทุ่มเทเพื่อชุมชนของแกนนำบางคน

วันนี้พวกเขามีงานในหมู่บ้าน...

นั่นก็คือพิธีเปิดสำนักงานชมรมฌาปนกิจบ้านลูโบะปันยัง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการทำวิจัย หรือ สกว. ที่บ้านของนายวอแล๊ะ นั่นเอง

ขนมจีนและน้ำหวานเย็นๆ ถูกจัดเตรียมพร้อมไว้ข้างเต็นท์โดยทีมแม่บ้าน ขณะที่แขกทยอยเดินทางมาถึง มีทั้งนายอำเภอกาบังที่มาเป็นประธานในพิธีเปิด ส่วนทหารจากหน่วยเฉพาะกิจและตำรวจตระเวนชายแดนจำนวนหนึ่งได้มาถึงก่อนหน้านั้นแล้ว เช่นเดียวกับผศ.ปิยะ กิจถาวร ตัวแทนจาก สกว.

งานพิธีเปิดที่มีผู้ร่วมงานไม่ถึงร้อยคนที่ดูแสนจะธรรมดาเหมือนพิธีเปิดทั่วๆไป แต่ก็แฝงไปด้วยนัยยะของความสูญเสียและการเยียวยา ทั้งในระดับบุคคลและชุมชนที่เคยบอบช้ำจากสถานการณ์ความไม่สงบมาหลายครั้งในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา

เหตุการณ์ไม่สงบในหมู่บ้านใกล้ชายแดนไทย –มาเลเซียแห่งนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2551 เริ่มจากมีเหตุการณคนร้ายซุ่มยิงรถรับส่งนักเรียนริมถนนใกล้หมู่บ้าน จากนั้นก็มีเหตุการณ์เรื่อยมา ได้แก่เหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงวัยรุ่นในหมู่บ้าน โดยอ้างว่าทลายแหล่งยาเสพติดแต่ไม่มีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ต่อมาเกิดเหตุการณ์คนร้ายยิงลูกชายของนายวอแล๊ะอดีตกำนันตำบลกาบังที่เพิ่งเกษียณได้ไม่ถึงปี เหตุเกิดที่บ้านของตัวเองจนเสียชีวิต ตามมาด้วยเหตุลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ริมถนนนอกหมู่บ้านไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตด้วยเช่นกัน ซึ่งยังไม่นับรวมเหตุการณ์อื่นอีกหลายครั้งเช่น ตัดต้นไม้ขวางถนน พ่นสีป้ายจราจร เป็นต้น

นายอุเส็น มูสอ ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในฐานะเลขานุการชมรมฌาปนกิจบ้านลูโบะปันยัง และยังเป็นพี่เลี้ยงโครงการสนับสนุนทุนวิจัยกิจกรรมทางเลือก (Alternative Activity Research : AAR) เพื่อเด็ก เด็กกำพร้า เยาวชน สตรี สตรีหม้าย และผู้นำศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอำเภอจะนะ อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา) สกว.ที่เข้ามาสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ในหมู่บ้าน หรือที่เรียกว่า โครงการเฮาะกีตอ(โครงการของพวกเรา)

นายอุเส็น เล่าว่า เหตุการณ์ทั้งหมดส่งผลกระทบต่อชาวบ้านมาก โดยเฉพาะทางด้านจิตใจเพราะชาวบ้านเกิดความหวาดกลัว หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะตัวกำนันเองกับชาวบ้าน หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาเองก็เก็บตัวเงียบอยู่แต่ในบ้าน ไม่ยอมออกไปหาชาวบ้าน คิดว่าชาวบ้านไม่ต้องการเขาอีกแล้ว จึงทำให้ความสัมพันธ์กับชาวบ้านยิ่งห่างมากขึ้น

“เมื่อชาวบ้านเห็นว่า อดีตผู้นำคนนี้ไม่เข้าหาชาวบ้านอีกแล้ว ชาวบ้านก็ไม่ไปมาหาสู่กับเขาเช่นกัน ส่วนลูก 2 คน ของลูกชายที่ถูกยิงเสียชีวิตมาเลี้ยงดูเองด้วย แต่ปัจจุบันเมื่อสถานการณ์ความไม่สงบในหมู่บ้านเริ่มดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างกำนันกับชาวบ้านก็น่าจะมีแนวโน้มที่ดีด้วย”

จุดเปลี่ยนสำคัญที่น่าจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตกำนันคนนี้ชาวบ้านกับดีขึ้น ก็เมื่อชาวบ้านได้เชิญมาเป็นประธานชมรมฌาปนกิจบ้านลูโบะปันยังนั่นเอง ซึ่งตั้งขึ้นมาตั้งเดือนมกราคม 2552

โดยนายอุเส็นเห็นว่า สุขภาพจิตของกำนันไม่ดีเลยมาตั้งแต่สูญเสียลูกชาย โดยเฉพาะทัศนคติต่อชาวบ้าน เพราะเชื่อว่า คนในหมู่บ้านนั่นเองที่เป็นคนก่อเหตุ ถ้าปล่อยไว้นานจะยิ่งไปกันใหญ่ จึงเชิญให้มาเป็นประธานเพื่อพยายามให้ลืมเรื่องเก่าๆและต้องการให้เห็นว่าชาวบ้านยังเคารพนับถือ แม้ดูแล้วยังดังความรู้สึกดีๆกลับมาได้ไม่มากก็ตาม

ซึ่งบทบาทหน้าที่สำคัญของประธานก็คือเมื่อมีสมาชิกชมรมเสียชีวิต ประธานก็จะนำเงินฌาปนกิจไปมอบให้กับญาติด้วยตัวเอง เป็นหนทางหนึ่งในการเยียวยาจิตใจและสร้างทัศนคติที่ดีต่อชาวบ้านขึ้นมาใหม่ เพราะต้องมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับชาวบ้านที่เคยเป็นลูกบ้านของตัวเอง

แม้มีอดีตลูกบ้าน 2 – 3 คนได้หนีหายไปจากหมู่บ้านแล้วก็ตาม

“งานที่ผมทำ จึงเป็นการเยียวยาชุมชนมากกว่าเยียวยาบุคคล เพียงแต่ที่ยกกรณีของกำนันวอแล๊ะขึ้นมา เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในหมู่บ้าน” อุเส็นอธิบาย

ส่วนนายวอแล๊ะ จินตรา อดีตกำนันผู้สูญเสีย เล่าว่า วิถีชีวิตตอนนี้ก็เป็นปกติธรรมดา เหมือนคนทั่วไปที่ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไร เพราะเกษียณจากกำนันมาตั้งแต่ปี 2549 ต่างจากเมื่อก่อนที่เป็นผู้นำในหมู่บ้านมา 20 ปี ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง




“อะไรที่จะเกิดมันก็ต้องเกิด ส่วนผลกระทบทางด้านจิตใจก็ต้องมีบ้าง ตอนนี้ยังหวาดผวาอยู่ เพราะเราเคยโดนกับตัวเอง ดังนั้นการจะเชื่อใจใครได้ นั้นตอนนี้ต้องพิจารณาให้ดีก่อน ต้องสังเกตให้ดี ไม่ว่าเขาจะเป็นเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้อง เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว” อดีตกำนันวอแล๊ะ อธิบายถึงความรู้สึกข้างในจิตใจ

พร้อมกับเล่าต่อว่า “แต่การที่ได้มาเป็นประธานชมรมฌาปนกิจบ้านลูโบะปันยังได้นั้น ก็เพราะชาวบ้านเชิญมา แสดงว่าชาวบ้านก็ยังต้องการให้เราเป็นผู้นำอยู่ เพื่อให้ได้มาทำงานเพื่อส่วนรวมอีก”

แม้จะมีบาดแผลอยู่ในใจ แต่ก็ใช่ว่าจะส่งผลให้การทำงานมีปัญหาไปด้วย เพราะตลอด 1 ปี 4 เดือนที่เข้ามาเป็นประธานเป็นคนแรก มีการประชุมคณะกรรมการชมรมทุก 2 – 3 เดือน มีการมอบเงินค่าฌาปนกิจศพสมาชิกไปแล้ว 11 ราย โดยที่เขาเป็นผู้นำไปมอบให้ญาติคนตายด้วยตัวเอง

“ในช่วงแรกๆ ก็มีปัญหาบ้างเป็นเรื่องปกติ เพราะยังมีชาวบ้านที่ยังไม่เข้าใจและไม่ไว้ใจ ก็ต้องทำความเข้าใจกัน”นายวอแล๊ะ กล่าว พร้อมกับอธิบายต่อว่า

การจัดพิธีเปิดสำนักงานอย่างเป็นทางการครั้งนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านเข้าใจมากขึ้น เพราะมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานที่ผ่านมาด้วย

“ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกสบายใจอยู่เลย แต่ก็มี ยีเซ็ง(นายอุเส็น) นี่แหละที่เป็นคนที่ดึงเราเข้ามา แล้วก็ให้กำลังใจตลอด” คือคำทิ้งท้ายของอดีตกำนันวอแล๊ะ ผู้สูญเสีย

“ถ้าจัดงานนี้ที่บ้านผม รับรองขนมจีน 100 กิโลกรัมไม่พอแน่ ก็ได้แต่หวังว่าจัดงานครั้งต่อไปชาวบ้านจะมากันมากกว่านี้”


วอแล๊ะไม่ได้พูดประโยคนี้ แต่เป็นเสียงกระซิบทิ้งท้ายของอุเส็น

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

krabi

Posted by Picasa
ผมชื่อ บัดรอน มาจากสายบุรี จังหวัด ปัตตานี

red army

ข่าวฟุตบอล นี่น่าจะเป็นชัยชนะ ที่ชอกช้ำที่สุดของบรรดา 'เร้ดอาร์มี่' ในฤดูกาลนี้ เพราะถึงแม้ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจะเอาชนะสโต๊ค ซิตี้ไปได้ 4-0 แต่เนื่องจากเชลซีเก็บ 3 คะแนนเหนือวีแกนได้ จึงทำให้พวกเขาเป็นได้เพียงแค่รองแชมป์เท่านั้น มิหนำซ้ำรูนี่ย์ยังพลาดดาวซัลโวไปอีกด้วย

ผลบอล พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษาคม 2553
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4 - 0 สโต๊ค ซิตี้
ประตู : 1-0 ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ น.31,2-0 ไรอัน กิ๊กส์ น.38,3-0 แดนนี่ ฮิกกิ้นบอทอม(o.g.) น.55,4-0 จี ซุง ปาร์ค น.84

ไฮไลท์การทำประตูในเกมนี้

ครึ่งแรก

แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เปิดฉากลุยตั้งแต่ต้นเกมทันที โดยมีโอกาสได้ลุ้นในนาทีที่ 10 จากลูกที่ นานี่ เปิดมาให้ แต่ว่าเบอร์บาตอฟ โหม่งข้ามคานออกไป

จากนั้นแมนฯ ยูไนเต็ด พยายามเดินหน้าต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ และมาประสบความสำเร็จเอาในนาทีที่ 31 จากจังหวะลูกเตะมุม วิดิช ได้โขกแต่ไปติดนักเตะวีแกน ก่อนที่จะมาเข้าทาง เฟล็ตเชอร์ ซัดเสยตาข่ายจากระยะเผาขนเข้าไป

ถึงนาทีที่ 38 สกอร์ก็ขยับเป็น 2-0 เมื่อ เบอร์บาตอฟ ทำทางได้สวยให้ กิ๊กส์ สไลด์บอลผ่านตัวของ เบโกวิช ประตูสโต๊ค เข้าไป ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด นำสบายในช่วงนี้

ถัดมาเป็นโอกาสของ รูนี่ย์ ก่อนหมดครึงแรก โดยยังเป็น เบอร์บาตอฟ ที่ใส่พานมาให้ แต่ว่า โรเบิร์ต ฮูธ ก็มาช่วยบล็อกได้ทันเวลาก่อนที่ดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ที่กำลังลุ้นตำแหน่งดาวซัลโวอยู่กับ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา จะสงบอลไปตุงตาข่าย

สโต๊ค ก็พอมีโอกาสเหมือนกันเมื่อ ฟูลเลอร์ ได้โอกาสจะทำประตูแต่ว่า ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็ช่วยป้องกันเอาไว้ได้แบบไม่ยากเย็นนัก ก่อนที่เกมจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นำ 2 เม็ดของเจ้าบ้าน แต่บรรยากาศไม่สู้ดีนักเพราะรู้สถานการณ์ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์

ครึงหลัง

แมนฯ ยูไนเต็ด มาบวกได้อีกประตูในนาทีที่ 54 ซึ่งต้องชม รูนี่ย์ ที่ทำมาได้ดีก่อนจะเปิดไปปากประตูโดยมี นานี่ โฉบเข้ามา ทำให้ ฮิกกินบอแธม กดดันและสกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเองไป แต่มันก็ไร้ความหมายเพราะอีก สนาม เชลซี ไล่ยิงวีแกนสนุกเท้า

ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เกมเริ่มเนือยลงไป มีจังหวะก็ทำไม่ถนัด ส่วนรูนีย์ ที่ก่อนเกมได้ลุ้นดาวซัลโวด้วยก็มาโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 76 แมนฯ ยูไนเต็ด มายิงเพิ่มเป็น 4-0 ในนาทีที่ 84 จากลูกเตะมุม กิ๊กส์ เปิดเข้ามาให้ พาร์ค โขกเข้าไปจากระยะ 8 หลา

ก่อนที่จะไม่มีอะไรกันอีก เกมจบลงที่สกอร์นี้และปีศาจแดงก็ได้เป็นรองแชมป์ในฤดูกาลนี้เท่านั้น หยุดสถิติการครองแชมป์ไว้ที่ 3 สมัยติดต่อกัน และอดแซงหน้าขึ้นเป็นแชมป์ที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์

รายชื่อผู้เล่นทั้ง สองทีม

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์,เนมันย่า วิดิช ,ริโอ เฟอร์ดินานด์,ปาทริช เอฟร่า,แกรี่ เนวิลล์,ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์,พอล สโคลส์ (กิ๊บสัน น.62),ไรอัน กิ๊กส์,นานี่,เวย์น รูนี่ย์(ปาร์ค น.77),ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ(มาเคด้า น.62)

สโต๊ค ซิตี้ : แอสเมียร์ เบโกวิช,โรเบิร์ต ฮูธ,ไรอัน ชอว์ครอสส์,แดนนี่ ฮิกกิ้นบอทอม(คอลลินส์ น.67),แอนดี้ วิลกินสัน,เกล็นน์ วีแกน,ดีน ไวท์เฮด(ดิเยา น.67),แมทธิว เอ็ตเธอริงตัน,รอรี่ ดีแลป,มามาดี้ ซิดิบี้(พิวจ์ น.67),ริคาร์โด้ ฟูลเลอร์

เสธ.แดง

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เสธ.แดง ปูดข่าว ทักษิณ เตรียมตั้งแกนนำแดงชุด 2 กี้ร์ แรมโบ้ ขวัญชัย จ้องไล่ 3 เกลอกลับบ้าน

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก หรือ เสธ.แดง ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ในวันนี้ (10 พ.ค.) ว่า การที่นายกฯ ฟันธงว่าตนกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการล้มแผนปรองดองแห่งชาตินั้น เป็นการสรุปเองทั้งหมด ใครเชื่อก็คงออกลูกเป็นควาย และเมื่อคืนวาน (9 พ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตกลงกับตนสั่งให้แต่งตั้งแกนนำ นปช. ชุด 2 ขึ้นมา และใครที่ไม่สู้ก็ให้กลับบ้านไป ไม่ต้องกลับมาขึ้นเวทีเสื้อแดงอีก โดยแกนนำชุด 2 นั้น เตรียมตัวให้นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายขวัญชัย ไพรพณา และ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ทำหน้าที่แทนชุดเก่าที่ประกอบไปด้วย นายวีระ มุสิกพงษ์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ รวมทั้งนายแพทย์เหวง โตจิราการ และ นายวิสา คัญทัพ ที่ไปประนีประนอมกับทางรัฐบาล ให้กลับบ้านไป

และเมื่อมีการถามถึงกระแสว่าจะมีการปลด เสธ.แดง ออกจากกองทัพนั้น เสธ.แดง กล่าวว่า "มึงจะทำยังไงก็ได้ กูไม่เสียใจทำไปเลย หากจะเสนอปลดจริงก็ทำได้ ทำไปเลย เพราะมึงคือกองทัพโจร แต่ถ้าโดนปลดก็เกินเหตุ เพราะกูเพียงแค่เดินไปเดินมาในที่ชุมนุมเท่านั้น ทั้งนี้หากมีการปลดจริงต้องให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย ซึ่งเสธ.แดงพร้อมจะรับสนองพระบรมราชโองการทั้งสิ้น"

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553


Krabi pen stanti tongtiau ti suai ngammak yang chn Koh Pipi Koh lanta , Ta crai soncai tidto dai kab pom na tini.

เเนะนำตัว bad

badron จาก saiburi